กลยุทธ์การตลาด ปี 2024 ที่คนทำการตลาดต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นกุญแจสู่การเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์การตลาดเปรียบเสมือนแผนที่นำทาง ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แปลงโอกาสการขาย (leads) ให้เป็นลูกค้า และสร้างความโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเคล็ดลับในการใช้งานแบบมืออาชีพ เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของธุรกิจคุณ
หลักการและรากฐานที่สำคัญของการสร้าง “กลยุทธ์การตลาด” ที่ประสบความสำเร็จ
- ทำเข้าใจตลาดเป้าหมายของธุรกิจให้ได้ก่อน: การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดที่ประสบความสำเร็จครับ ดังนั้น นักการตลาดต้องทำการเจาะลึกข้อมูลเชิงลึกที่เป็นความต้องการของผู้บริโภคให้ได้ และดูว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายเหล่านั้นมีความคาดหวังจากสินค้าและบริการอะไรบ้าง โดยเฉพาะการศึกษารูปแบบพฤติกรรมในการเสพสื่อหรือการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของพวกเขา เพื่อนำไปสร้างแผนการสื่อสารทางการตลาด ข้อความทางการตลาด และแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพครับ
- วางแผนพัฒนาจุดขายที่ไม่เหมือนใคร (USP): นักการตลาดต้องดูว่าข้อเสนอของธุรกิจนั้น โดดเด่นหรือแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร? โดยจะต้องเน้นย้ำถึงสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของคุณมีความพิเศษ แตกต่าง และสร้างการจดจำ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่เหนือกว่า คุณภาพที่เหนือกว่า หรือประสบการณ์ของลูกค้าที่จะได้รับหลังจากใช้สินค้าหรือบริการนั้นครับ
- ทำการกำหนดวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่ชัดเจน (SMART): วัตถุประสงค์ของการทำการตลาด ควรเป็นแบบเจาะจง (Specific) วัดผลได้ (Measurable) บรรลุผลได้ (Achievable) เกี่ยวข้องตรงประเด็น (Relevant) และมีกรอบเวลา (Time-bound) เพื่อติดตามและประเมินความคืบหน้าได้อย่างต่อเนื่่องครับ (โดยจะขอนำหลักการ SMART มากล่าวในบทความถัดไปครับ)
- ทำการวิเคราะห์คู่แข่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง: ข้อนี้ นักการตลาดต้องวิเคราะห์และทำความเข้าใจกลยุทธ์ จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง เพื่อที่จะช่วยให้คุณสามารถหาช่องว่างทางการตลาด และปรับเปลี่ยนข้อเสนอของธุรกิจ ให้โดดเด่น และแตกต่าง ในสายตาของกลุ่มเป้าหมายได้ครับ
องค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การตลาด
- การตลาดแบบผสมผสาน (Mix Marketing): นักการตลาดจะต้องเลือกใช้ ประยุกต์ใช้ และผสมผสานกลยุทธ์การตลาดผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) การประชาสัมพันธ์ (PR / Digital PR) และการตลาดแบบบอกต่อ (Word of Mouth) เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณให้มากที่สุดครับ
- กลยุทธ์ด้านเนื้อหาหรือคอนเทนท์ (Content Strategy): คนทำการตลาด ต้องเข้าใจคำว่า “Content is the King” และทำการพัฒนา ปรับปรุง เนื้อหาคอนเทนท์เชิงคุณภาพให้สนใจ และมีคุณค่าต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายซึมซับและพิจารณาตัดสินใจซื้อในท้ายที่สุด โดยแต่ละเนื้อหาควรมีความหลากหลายในรูปแบบเช่น บทความ, Infographic, วิดีโอสั้นอย่าง reels, youtube shorts, tiktok หรือ วีดิโอยาว, สื่อ e-book, พอดแคสต์ ฯลฯ เพื่อดึงดูดใจผู้คนในหลาย ๆ ระดับครับ
- การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing): กลยุทธ์นี้ ในไทยถือว่าเป็น “A Must” หรือ สิ่งที่นักการตลาดต้องทำครับ การทำการตลาดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียนั้นช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะสนใจซื้อสินค้าหรือบริการได้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการใช้โซเชียลมีเดียสร้างแบรนด์ให้น่าเชื่อถือและสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในรูปแบบ 2 ways Communication หรือการสื่อสารแบบสองทาง เพื่อที่ธุรกิจจะสามารถรับฟังเสียงตอบรับ ข้อเสนอแนะ จากลูกค้าซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ครับ
- การทำ SEO หรือ ทำให้ติด Search บน Google: ข้อนี้ นักการตลาดจะต้องเน้นเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ธุรกิจและเนื้อหาในเว็บไซต์ ให้ตรงตามหลักการทำ SEO ที่ปรากฏบนหน้าเว็บอย่างการทำ on-page SEO และ off-page SEO ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหาอย่าง Google เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นจากผู้คนมากขึ้นครับ
- การตลาดผ่าน Chat Commerce, หรือ Social Commerce : กลยุทธ์นี้ ในไทยถือว่ากำลังมาแรงอย่างต่อเนื่องครับ โดยแต่ละแพลต์ฟอร์มก็มีจุดเด่นในการทำการตลาดที่แตกต่างกันไป แต่แก่นของการทำการตลาดก็คือ การสื่อสารกับลูกค้าและปิดการขายผ่านแชทหรือการสนทนาครับ ยกตัวอย่างเช่น การทำ LIVE บนช่องทางโซเชียลและปิดการขายจากคนที่แชทมาคอนเฟิร์มซื้อสินค้าระหว่าง LIVE เป็นต้นครับ
- การตลาดผ่าน E-Commerce : สำหรับแพลต์ฟอร์มนี้ถือว่าเป็นสนามรบของการขายสินค้าและบริการในไทยเลยก็ว่าได้ครับ แต่ละแพลต์ฟอร์มพยายามอย่างมากที่จะดึงให้ลูกค้ามาใช้งานในแพลต์ฟอร์มของตัวเอง ด้วยการ ลด แลก แจก แถม ทำโปรโมชั่นแคมเปญกระตุ้นการซิ้อย่างต่อเนื่อง เช่น 11.11 หรือ 12.12 เป็นประจำทุกปีครับ โดยเทรนด์ที่น่าสนใจของ E-Commerce อีกอย่างที่กำลังเป็นเทรนด์คือการทำการตลาดแบบ Affiliate Marketing ที่แต่ละแบรนด์ร่วมมือกับเหล่า content creator ช่วยกันนำสินค้าออกไปขายผ่านการทำคอนเทนท์รีวิวในรูปแบบต่าง ๆ และกระตุ้นให้คนกดซื้อผ่านลิ้งค์ซื้อสินค้าครับ วิธีนี้แบรนด์ได้ยอดขาย และเหล่าคอนเทนท์ครีเอเตอร์ได้ค่านายหน้าจากการขายนั่นเองครับ (เรื่อง Affiliate Marketing ขอเอาไว้เขียนในบทความต่อไปนะครับ)
กลยุทธ์ขั้นสูงในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ
- การใช้ระบบอัตโนมัติทางการตลาด (Marketing Automation): ระบบอัตโนมัติทำให้การดำเนินธุรกิจทางการตลาดง่ายขึ้น ประหยัดเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การทำ email marketing, การใช้แชทบอทหรือ Ai เข้ามาช่วยในการรับออเดอร์, ฯลฯ เพื่อลดต้นทุนของธุรกิจในระยะยาวนั่นเองครับ
- การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics): เป็นการติดตามตัวชี้วัดหลัก (KPI) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ยอดขาย อัตราการเปิดอีเมล การเข้าชมเว็บไซต์ จะช่วยให้เข้าใจและวัดผลผลการทำการตลาดของแต่ละธุรกิจได้ครับ
- การตลาดผ่านผู้นำความคิด หรือ ผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจ (Key Opinion Leader and Influencer Marketing): วิธีนี้ ในไทยเราคุ้นเคยกันดีครับ เป็นวิธีที่แต่ละแบรนด์ร่วมมือกับ KOL ที่เกี่ยวข้องกับสายธุรกิจ ทำการแนะนำแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นมั่นใจและทำการตัดสินใจซื้อต่อไปครับ
- การสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วม (Experiential Marketing): เป็นวิธีที่เน้นสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าอย่างลึกซึ้งผ่านกิจกรรมหรือประสบการณ์ เพื่อสร้างความผูกพันและความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์และธุรกิจในระยะยาวครับ
สรุปส่งท้าย
ท้ายสุด เราต้องไม่ลืมว่า กลยุทธ์การตลาดที่ดีต้องมีการปรับเปลี่ยนและทบทวนข้อมูลที่ได้กลับมาประเมินอยู่เสมอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องนะครับ รวมถึงการใช้แต่ละกลยุทธ์ผสมผสานให้เกินแผนการตลาดที่รอบคอบตั้งแต่การวิเคราะห์ตลาด การคิดเชิงกลยุทธ์ และติดตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาวต่อไปครับ
คลิกกดติดตามเรื่องราวอัพเดทกลยุทธ์ทำการตลาดและโฆษณาได้บนช่องทาง Facebook Page : MarketingPlz คลิกเลย
หากคุณเป็นนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการคำแนะนำในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของคุณ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร? ก็คลิกแอดไลน์ @marketingplz หรือทักแชใน Facebook Page marketingplz เพื่อขอคำปรึกษาฟรีได้เลย!