เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา Facebook Ad ด้วยกลยุทธ์ Performance 5

Facebook Ad 2024 - Performance 5

เกริ่นนำ

ช่วงที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสอัพเดทความรู้ Facebook Ad (Meta) จากการเข้าคลาสออนไลน์ของ Meta Certified Blueprint for Agency ครับ
 
(คลาสนี้เป็นผลพวงจากที่ผมไปสอบ Facebook Blueprint Certified Media Planning และ Media Buying เมื่อปี 2019 และ สอบ retake certifications 2 ตัวนี้ต่อเนื่องครับ)
 
ในมุมผมนั้น คลาสนี้เหมาะกับคนที่กำลังใช้ Facebook Ads และต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ และก็เหมาะกับคนที่ต้องการเตรียมความพร้อมไปสอบ Meta Certified Media Planning และ Media Buying ด้วยครับ
 
(เพราะในคลาสมีให้ทำ Q&A ที่เป็นตัวอย่างข้อสอบของการสอบ Meta Certified ทั้ง 2 ตัวที่กล่าวถึงด้วยครับ)
 
โดยหัวข้อของ webinar นี้มี ชื่อว่า
“Maximize your campaign results with Performance 5”
ตอนแรกผมก็สงสัยคำว่า Performance 5 ในความหมายของ Facebook นั้นคืออะไร? แล้วมันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา Facebook ของเราได้ได้อย่างไร?
ซึ่งผมขอสรุปสั้น ๆ ก่อนที่จะคลิกไปดูเนื้อหาแต่ละหัวข้อ ดังนี้ครับ
 

“Performance 5” ในความหมายของ Meta หรือ Facebook คือ

การเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ AI ได้ทำการเรียนรู้และนำส่งแคมเปญของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากที่สุด ซึ่งมีอยู่ 5 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่

1. Account Simplification คือ การ setup แคมเปญให้เหมาะสม

คือ การตั้งค่าแคมเปญให้ง่ายต่อการที่ AI เข้ามา Learning และเป็นการลดความซับซ้อนในการตั้งค่าแคมเปญซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำโฆษณาบน Facebook
1. จำกัดจำนวน ad set ในแต่ละแคมเปญ โดยสามารถใช้หลักการคำนวนด้านล่างนี้เพื่อหาว่า จำนวนสูงสุดของ ad set นั้น ควรมีไม่เกินเท่าไรต่อ 1 แคมเปญ
จำนวน ad set สูงสุด = งบประมาณต่อสัปดาห์ / (ต้นทุนต่อผลลัพธ์ x 50)
2. Optimize ให้เกิด results จำนวน 50 results ต่อ 1 สัปดาห์
3. ยุบรวม กลุ่มเป้าหมาย เช่น รวมกับกลุ่ม core audience เข้ากับกลุ่ม retargeting
4. หากต้องการแก้ไขแคมเปญ ก็ควรแก้ไขแบบรวมทุกจุดที่ต้องการแก้ในครั้งเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการเริ่มช่วง Learning Phase ใหม่อีกครั้ง
 

2. Automation คือ การใช้พวก Advantage+ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Advantage+ creative, audience, placements

คือการใช้พวก Advantage+ ต่าง ๆ เช่น Budget Automation, Creative Automation, Audience Automation, Placement Automation เป็นต้น ซึ่งข้อดีของการเลือก advantage+ นั้นคือการที่ระบบสามารถหา signal จากกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดขั้นตอนการ setup แคมเปญที่ยุ่งยากออกไปด้วย ทำให้นักการตลาดมีเวลาโฟกัสในการทำงานเชิงกลยุทธ์มากยิ่งขึ้น (ปล่อยให้ AI มันจัดการของมันไป)
 

3. Creative Diversification คือ การเลือกใช้ชิ้นงานโฆษณาที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของแคมเปญ

คือการสร้างชิ้นงานโฆษณาในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้ AI ได้ทำการเรียนรู้และเลือกนำส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม โดยหลัก ๆ จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

Diversify by concept คือ การสร้างความหลากหลายให้ชิ้นงานโฆษณา ด้วยการสร้าง “ไอเดีย หรือ คอนเส็ปต์” ของแต่ละชิ้นงานโฆษณาให้แตกต่างกันในมุมของ “แรงจูงใจ” ที่กลุ่มเป้าหมายจะตัดสินใจซื้อ เช่น ราคา, คุณภาพ, จุดขาย, จุดต่าง, บริการหลังการขาย, ความหรูหรา, ความ exclusive, ระยะเวลาจำกัด ฯ

Diversify by format คือ การสร้างความหลากหลายด้วยประเภทของชิ้นงานโฆษณา เช่น การทำ Reels ads การใช้ partnership ad กรณีที่แบรนด์เราทำแคมเปญร่วมกับ KOLs เป็นต้น

 

4. Data Quality คือ การเก็บข้อมูลผ่านพวก pixel และ conversion API

ในส่วนนี้คือการใช้ Conversion API ซึ่งแบรนด์ใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่จะทำ conversion API ไว้เพื่อเก็บ signal หรือเก็บข้อมูลพฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายไว้โดยตรง (ตั้งแต่กรณี IOS14 อัพเดท ทำให้การเก็บข้อมูลด้วย pixel ไม่เพียงพออีกต่อไป เนื่องจากการถูกจำกัดและปิดกั้นการเก็บข้อมูลบน IOS)
 

5. Test and Optimization คือ การทำพวก AB Testing และการตรวจสอบความถูกต้องของแต่ละตัวชี้วัดที่ได้จากการทำ AB Testing

ในส่วนนี้คือการทำ A/B Test ซึ่งถือว่าเป็นการทดสอบหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น การทดสอบชิ้นงานโฆษณา, ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย, ทดสอบ placements เป็นต้น โดยที่เราต้องกำหนดตัวแปรหลักที่จะต้องการทดสอบ ซึ่งตัวแปรหลักนี้ต้องมีตัวเดียว เช่น หากต้องการทดสอบกลุ่มเป้าหมาย เราสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันได้ แต่ส่วนต่าง ๆ ต้องถือว่าเป็นตัวแปรควบคุม เช่น ชิ้นงานโฆษณาก็ต้องหน้าตาเหมือนกัน เป็นต้น
 

สรุป

โดยหากเราสามารถ optimize แคมเปญโฆษณาได้ครบทั้ง 5 ส่วน ก็จะทำให้ AI ของ Facebook ทำการ Learning ได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำส่งผลลัพธ์ที่เรากำหนดและต้องการที่จะได้รับ ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นครับ

อยากเรียนรู้การสร้าง กลยุทธ์การตลาดผ่านการทำโฆษณาช่องทางต่าง ๆ เช่น Facebook Ad, Google Ad, LINE Ad, Tiktok Ad เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของคุณ

เรียนรู้จากคนที่ลงมือสร้างกลยุทธ์การตลาดและทำโฆษณาพร้อมกับการวัดประสิทธิภาพและผลลัพธ์ให้แก่หลากหลายธุรกิจ เช่น การตลาด คลินิกความงาม ร้านอาหาร โรงแรม ฯลฯ 

คลิกกดสอบถามผ่าน LINE หรือ Facebook Page ได้เลยครับ

คลิกกดติดตามเรื่องราวอัพเดทกลยุทธ์ทำการตลาดและโฆษณาได้บนช่องทาง Facebook Page : MarketingPlz คลิกเลย

หากคุณเป็นนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการคำแนะนำในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของคุณ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร? ก็คลิกแอดไลน์ @marketingplz หรือทักแชใน Facebook Page marketingplz เพื่อขอคำปรึกษาฟรีได้